Threaded Mode | Linear Mode

lavabet123

ในการทดลอง ว่าวัคซีนไฟเซอร์สามารถยับยั้งการแพร่เชื้อโควิดได้ วัคซีนโควิด-19 ชั้นนำนั้นบาคาร่ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ไม่ว่าจะก่อให้เกิดอาการหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นหลักฐานที่หนักแน่นที่สุดว่าวัคซีนยังควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้ การทดลองวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้างมุ่งเน้นไปที่การประเมินความสามารถในการป้องกันโรค แต่นักวิจัยยังต้องการทราบด้วยว่าวัคซีนสามารถป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่แสดงอาการก็ตาม Susan Hopkins ที่ Public Health England ในลอนดอนและเพื่อนร่วมงานของเธอได้ติดตามประสิทธิภาพของวัคซีนที่ทำโดย Pfizer และ BioNTech ในบุคลากรทางการแพทย์ในสหราชอาณาจักร 23,000 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภูมิคุ้มกัน SARS-CoV-2 ในระยะยาว

ตัวแปรของไวรัสน้อยกว่า อ่อนไหวต่อผลกระทบของวัคซีนโควิด ไวรัสโคโรน่าที่ออกแบบมาเพื่อกักเก็บการกลายพันธุ์จากตัวแปรที่น่าเป็นห่วง บางส่วนทื่อการปกป้องภูมิคุ้มกันที่นำเสนอโดยวัคซีนที่โดดเด่น ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การศึกษาได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่แอนติบอดีที่มีศักยภาพที่เชื้อเชิญโดยวัคซีนจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการต่อต้านเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ เมื่อเทียบกับไวรัสรุ่นเก่า และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ออกแบบ SARS-CoV-2 หลายรูปแบบ ซึ่งรวมถึงรูปแบบหนึ่งที่มีการกลายพันธุ์ของ Spike-protein เหมือนกันกับตัวแปรที่เป็นปัญหาที่เรียกว่า B.1.351 (หรือที่รู้จักในชื่อ 501Y.V2 ) ที่ระบุครั้งแรกในแอฟริกาใต้

ทีมวิจัยได้เจาะไวรัสที่มีลักษณะคล้าย B.1.351 กับซีรั่มในเลือดจากผู้ที่ได้รับวัคซีนสองโดสที่ผลิตโดยไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคในเมืองไมนซ์ ประเทศเยอรมนี แอนติบอดีที่กระตุ้นโดยวัคซีนทำให้ไวรัสเป็นกลางเพียงหนึ่งในสามอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับสายพันธุ์ที่ไม่มีการกลายพันธุ์เหล่านั้น นักวิจัยได้ติดตามความสามารถในการหลบเลี่ยงของไวรัสเกือบทั้งหมดในการกลายพันธุ์ 3 ครั้งในส่วนของโปรตีนขัดขวางที่ SARS-CoV-2 ใช้เพื่อยึดติดกับเซลล์เจ้าบ้าน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 น้อยลงหรือไม่ เจ้าหน้าที่ดูแลคนหนึ่งได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จาก Oxford-AstraZeneca เจ้าหน้าที่ดูแลคนหนึ่งได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก Oxford-AstraZeneca

การกระทุ้งครั้งที่สองที่ล่าช้าหมายถึงการป้องกัน COVID A ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้ดีขึ้น วัคซีนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากให้วัคซีนครั้งที่สองในสองโดสหลังจากรอเป็นเวลานาน มากกว่าการให้วัคซีนระยะสั้น ซึ่งเป็นการค้นพบที่สนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหราชอาณาจักรในการกำหนดขนาดยา วัคซีนสองโดสที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร และบริษัทยา AstraZeneca ในเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร สามารถให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้นได้โดยการขยายช่วงเวลาระหว่างการฉีด เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้ Andrew Pollard จาก University of Oxford และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ตรวจสอบข้อมูลการทดลองทางคลินิกจากผู้คนมากกว่า 17,000 คน โดยครึ่งหนึ่งได้รับวัคซีนและอีกครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอก

ทีมงานพบว่า ในช่วงเวลามากกว่า 6 สัปดาห์ ยิ่งช่องว่างระหว่างการกระทุ้งนานเท่าใด วัคซีนก็สามารถป้องกัน COVID-19 ได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพ 55% ในผู้ที่ได้รับเข็มที่สองน้อยกว่า 6 สัปดาห์หลังจากครั้งแรกและ 81% มีประสิทธิภาพในผู้ที่ได้รับเข็มที่สองมากกว่า 12 สัปดาห์หลังจากครั้งแรก ทีมงานยังพบว่าวัคซีนเพียงครั้งเดียวมีประสิทธิภาพ 76% ในช่วง 90 วันแรกหลังการฉีดวัคซีน เจ้าหน้าที่ Critical Care ดูแลผู้ป่วย Covid-19 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในลอนดอน ซึ่งไวรัสสายพันธุ์ B.1.1.7 ทำให้ผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้น

การติดเชื้อที่นานขึ้นอาจกระตุ้นการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของตัวแปร ผลการวิจัยเบื้องต้นแนะนำว่า B.1.1.7 ซึ่งเป็นเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ระบุครั้งแรกในสหราชอาณาจักร อาจแพร่เชื้อได้มากกว่า เนื่องจากใช้เวลาภายในโฮสต์มากกว่าเชื้อรุ่นก่อน . การศึกษาก่อนหน้านี้ได้ประมาณการว่า B.1.1.7 ซึ่งขณะนี้กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ สามารถแพร่ระบาดได้ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ของ coronavirus รุ่นก่อน ๆ Yonatan Grad ที่ Harvard TH Chan School of Public Health ในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ตรวจสอบผลการตรวจ SARS-CoV-2 ในแต่ละวันกับผู้ป่วย 65 รายที่ติดเชื้อ SARS-CoV-2 รวมถึงผู้ติดเชื้อ 7 รายที่ติดเชื้อ B.1.1.7