เปิดตัวตั้งแต่ยังไม่มีรถขาย (สิงหาคม) จนเมื่อส่งรถลงโชว์รูม (ตุลาคม) ถึงปัจจุบัน "ปาเจโร สปอร์ต" ฟันยอดขายไปกว่า 1,000 คันแล้ว โดยรุ่นที่ขายดีสุดคือตัวท็อป GT ขับเคลื่อนสี่ล้อ (ราคา 1.24 ล้านบาท) ทั้งนี้ทีมการตลาดมิตซูบิชิ คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณ 2551 (มีนาคม 2552) พีพีวีคันเก่งจะทำยอดขายทะลุเป้า 3,000 คันได้ไม่ยาก
ถ้ายังจำกันได้ ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด จัดทริปในสนามแบบปิด ให้ผู้สื่อข่าวได้ลองขับกันพอหอมปากหอมคอ ซึ่ง "เอเอสทีวีผู้จัดการมอเตอริ่ง" ได้นำเสนอไปแล้ว และเพื่อต่อยอดสร้างการรับรู้ให้หลากหลายมากขึ้น ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา "ค่ายตราเพชร" จัดแจงให้ผู้สื่อข่าวได้ทดสอบสมรรถนะบนท้องถนนจริง รวมถึงวัดตัวเลขประหยัดน้ำมันไปพร้อมๆกัน
ทริปนี้เราใช้เส้นทางกรุงเทพ – ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วข้ามไปพม่า โดยมิตซูบิชิเตรียมรถมาให้ 8 คันครบไลน์(4 รุ่นย่อย) ซึ่ง "เอเอสทีวีผู้จัดการมอเตอริ่ง" ได้พาหนะเป็นรุ่น ขับเคลื่อนสองล้อ จีที (ราคา 1.070 ล้านบาท)พร้อมผู้ร่วมเดินทางอีกสามท่านจาก "มติชน" และ "นิตยสาร ซี-แมกซ์คาร์" รวมถึงพีอาร์สาวจากมิตซูบิชิ
เราเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้โดยสารตอนหน้า และมีโอกาสได้เพ่งพิจการตกแต่งภายในที่ต้องยอมรับว่า มิตซูบิชิทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กับวัสดุคุณภาพ สัมผัสละมุนมือ การประกอบเนี้ยบเนียน และพูดได้เต็มปากว่าในห้องโดยสาร "ปาเจโร สปอร์ต" ดูดีสุดในบรรดาพีพีวีทั้งหลายตลาด
คอนโซลหน้าดำขรึมแต้มแต่งด้วยสีเทาและเมทาลิก หัวเกียร์หุ้มหนังใหญ่จับถนัดมือ เบาะนั่งสีเบจส่งให้ห้องโดยสารดูสว่างโล่ง ที่สำคัญยังโอบกระชับนั่งสบาย ขณะที่ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกขนมาให้ทั้ง
เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวสาม ชุดเครื่องเสียง AM/FM / DVD/CD/MP3 จาก ALPINE พร้อมจอมอนิเตอร์ขนาด 7 นิ้ว แบบทัชสกรีน
สำหรับชุดเครื่องเสียงนั้นคุณภาพใช้ได้ รองรับการเล่นหลากหลาย แต่จะว่าไปก็ใช้งานยากไปนิด ต้องอ่านคู่มือหรือดำผุดดำว่ายอยู่สักพักกว่าจะเข้าใจกัน อย่างไรก็ตามการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าไม่เลว สำหรับการเป็นรถคันโตพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล คือเสียงเครื่องยนต์นั้นอาจจะเล็ดลอดมาบ้างตามจังหวะบี้คันเร่ง แต่ไม่ถึงกับน่าหงุดหงิด ขณะที่เสียงลมปะทะและยางบดพื้นถนนนั้นถือว่าจัดการได้เยี่ยม
ด้านความอเนกประสงค์อย่าง เบาะหลังแถวสาม ที่แม้จะเป็นจุดไม่สบายที่สุดในการนั่งเดินทาง แต่ต้องชมการออกแบบที่สามารถทำให้พับเก็บราบไปกับพื้นห้องโดยสารได้ (แถวสองก็พับขึ้นไปชนแถวแรกได้) นอกจากจะเนียนตาแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งต่างและดีกว่าฟอร์จูเนอร์ ที่พับเก็บแบบแขวนด้านข้าง ขณะเดียวกันการเป็นผู้โดยสารแถวที่สอง ก็นั่งสบายเบาะปรับเลื่อนหน้าถอยหลังได้ เลครูมเฮดรูมเหลือพอประมาณ ที่สำคัญรองรับแรงสั่นสะท้อนจากพื้นถนนได้ดีทีเดียว
สำหรับภายนอกถือเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจะออกแนวโออ่า ภูมิฐาน คนละสไตล์กับฟอร์จูนเนอร์ที่ดูโฉบเฉี่ยวดุดัน โดยปาเจโร สปอร์ต จะมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี คือ ดำ ทอง เงิน และเทา ขณะที่ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ประกบยาง 265/70R16 คนละขนาดกับฟอร์จูนเนอร์ที่ใช้ ขอบ 17 นิ้ว
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 4D56 ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ที่ยกมาจากไทรทันทั้งบล็อก ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 321 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำเพียง 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ INVECS II 4 สปีด ที่เล่นเป็นเกียร์ธรรมดาได้ หรือมิตซูบิชิเรียกว่า “สปอร์ตทรอนิค”
เรื่องพละกำลังนั้นถือว่า มาช้าไปนิด การจะพุ่งออกจากจุดหยุดนิ่งไปแบบห้าวหาญนั้นลืมไปได้เลย การไล่ความเร็วขึ้นไปแต่ละเกียร์ยังออกแนวเนิบนาบ ซึ่งวันนั้นนอกจากน้ำหนัก 1.9 ตันของรถแล้วยังแบกคนไปอีก 4 ก็เต็มกลืนครับ ดังนั้นใครอยากได้การตอบสนองทันใจกว่าก็ข้ามไปเล่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 4WD ที่คุณจะได้ระบบขับเคลื่อน SS4 มาด้วย
อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเทียบความปรู้ดปร้าดระหว่าง 3.2 ลิตร 165 แรงม้าของ “ปาเจโร สปอร์ต” กับ 1KD-FTV 3.0 ลิตร 163 แรงม้าของ “ฟอร์จูนเนอร์”แล้ว อัตราเร่งของค่ายหลังยังทำได้ดีกว่าในทุกย่านความเร็ว รวมถึงการบังคับควบคุมก็เช่นกัน โดย “ฟอร์จูนเนอร์” จะเซ็ทพวงมาลัยไว้คมกริบ ขณะที่“ปาเจโร สปอร์ต”จะมีจังหวะฟรีอยู่นิดๆ ซึ่งตรงนี้แล้วแต่ ความตั้งใจของวิศวกรเขาครับ คือถามว่า มิตซูบิชิทำให้คมให้แม่นกว่านี้ได้ไหม ต้องบอกว่าได้ แต่เขาคงมองว่ารถคันโตๆ พร้อมน้ำหนักบรรทุก น่าจะทำไว้ให้ฟรีนิดๆ คงขับสบายกว่า ที่สำคัญเวลากะทันหัน หรือต้องหักหลบเปลี่ยนแลน การเซ็ทแบบนี้จะปลอดภัยกว่า
สำหรับเบรกหน้าดิสก์-หลังดรัม เหมือนฟอร์จูนเนอร์ พร้อม ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ที่ให้มาเป็นมาตรฐานทุกรุ่น ทำได้สมเนื้อสมตัว อาการกดแป้นเบรกแล้วหน้าจิกไม่มีให้เห็น ตัวรถชะลอหยุดได้ตามความคาดหมาย
จุดเด่นที่ต้องยกมาชมอีกอย่างคือ ระบบกันสะเทือนที่มันกันสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ วิ่งผ่านหลุมน้อย เนินลูกระนาด ผ่านไปแบบ นิ่ง-นุ่ม รวมถึงการยึดเกาะถนนอันแนบแน่น จากช่วงล่างหน้าปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง บวกเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 3 จุดยึด พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ขณะที่การทรงตัว ถึงแม้จะเป็นรถบอดี้ออนเฟรม แต่การเข้า-ออกโค้งทำได้เยี่ยม ให้ความมั่นใจไม่แพ้พวกโมโนค็อก ในเอสยูวีแท้ๆ
ด้านอัตราการบริโภคน้ำมัน ที่เรามาวัดแถวๆ กุยบุรี กับระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร โดยคันของเรา (ขับเคลื่อนสองล้อ เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร) วิ่งความเร็วเฉลี่ย 100-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมคนนั่ง 4 คน ใช้น้ำมันไป 26.87 ลิตร หรือเฉลี่ย 11.90 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งตัวเลขที่ได้ถือว่าน่าแปลกใจทีเดียว เพราะตอนแรกคาดว่าเครื่องยนต์เล็กๆแล้วต้องแบกน้ำหนักขนาดนี้น่าจะซด แต่พอผลออกมาอย่างนี้ต้องบอกว่าหรูแล้ว
อย่างไรก็ตามในรถรุ่นเดียวกันนี้ ที่เพื่อนสื่อมวลชนท่านอื่นขับมายังมีตัวเลขระดับ 12.83 กิโลเมตรต่อลิตรให้เห็น ขณะที่รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร คันที่ทำตัวเลขดีสุดอยู่ที่ 11.67 กิโลเมตรต่อลิตร
รวบรัดตัดความ... ใครจะเถียงกันเรื่องชื่อ “
ปาเจโร สปอร์ต”ว่าทำไมต้องไปพ้องกับ เอสยูวีรุ่นพี่ “ปาเจโร” ก็เถียงไปเถิดครับ เพราะส่วนมากคนเถียง(ด่า)มักจะไม่ซื้อ แต่ถ้าคนที่จะซื้อใช้จริงๆคงจะมองที่คุณค่าและเนื้อในยนตรกรรมมากกว่า อย่าง “พีพีวี มิตซูบิชิ” คันนี้ แม่นิสัยรวมๆจะออกแนวเรื่อยๆเนิบๆ จากเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดกำลังลงมาสู่ล้อหลัง หรือแฮนลิงด์ไม่คมเท้า “คู่แข่งเจ้าตลาด” แต่จุดเด่นอื่นอย่างความอเนกประสงค์ ประสิทธิภาพช่วงล่าง นั่งสบาย เนียนแน่น ขณะที่ตัวเลขซดน้ำมันจากการลองขับจริงก็ออกมาไม่น่าเกลียด และโดยส่วนตัวแล้ว ถือว่ามีความคุ้มค่าต่อราคามาก ถ้าเทียบกับรถประเภทเดียวกันในท้องตลาด
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์