ตอบกระทู้ 
 
คะแนนกระทู้:
  • 0 Votes - 0 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
ทำเงินบนโลกไอที: Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
Sun, 22 Mar 09, 15:23
Post: #1
ทำเงินบนโลกไอที: Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
ใครว่าบทความไอทีอ่านแล้วจะมีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือสินค้ารุ่นใหม่ที่มักปลุกกิเลสให้ชาวไอทีควักเงินในกระเป๋าออกมาจับจ่ายอยู่ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือบทความไอทีที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถทำเงินจากโลกไอทีได้ หากตั้งใจแน่วแน่กับการศึกษาและปฏิบัติจริง

"ผู้จัดการไซเบอร์" ขอนำเสนอบทความชุดเรื่อง "ทำเงินบนโลกไอที" เพื่อแสดงมุมมองของการตลาดออนไลน์ในยุค 2009 จากนานาเจ้าของเว็บไซต์และบริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชไทย โดยเราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับการทำเงินขั้นพื้นฐานในสัปดาห์แรก และจะต่อยอดการทำเงินขั้นสูงขึ้นในสัปดาห์ถัดไป

***

เจาะตลาดโลกด้วย SEM
(บทความโดย ปภาดา อมรนุรัตน์กุล paphada@redrank.co.th)

คุณมีเว็บไซต์หรือยังค่ะ?? แล้วตอนนี้มีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นจำนวนเท่าไร?? มียอดซื้อออนไลน์มากน้อยขนาดไหน? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากคุณได้รู้จักกับ Search Engine Marketing

คนส่วนใหญ่ที่เปิดเว็บไซต์มาหลายปีแต่ขายสินค้าได้น้อย มักจะคิดว่าเป็นเพราะการไม่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์ หรือเพราะการใช้เว็บสำเร็จรูปในการเปิดร้านขายของ จนหลายคนทำใจได้และพอใจกับการขายสินค้าได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีเว็บไซต์ขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยที่ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปธรรมดา ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย ที่สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 400%

เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่เขาได้รู้จักกับการทำตลาดออนไลน์ ที่เรียกกันว่า SEM ซึ่งหากเราเป็นผู้ประการธุรกิจแบบ ecommerce เราจะสามารถวัดค่า ROI (Return Of Investment) ได้ดีทีเดียว

ใช้เสิร์ชเอนจิ้นเป็นเครื่องมือ

Search Engine Marketing คำนี้ไม่ได้เป็นศัพท์ใหม่ หลายๆ คนรู้จักกันมานานแล้ว แต่ในประเทศเราเองนั้น เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกับการทำ SEM นี้ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้เอง หากใครยังไม่รู้ว่า Search Engine Marketing คืออะไร จะขออธิบายดังนี้

SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย

แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก

เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ

   

เรามาดูอีกฝั่งของผลการค้นหากันบ้าง ผลการค้นหาฝั่งขวามือนั้น เราจะเรียกกันว่า เป็น Pay per click (PPC) เราซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์ไม่ต้องกลุ้มใจกับอันดับที่ไม่ขึ้นในฝั่งซ้าย (SEO) เพราะเราสามารถทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับในฝั่งขวาของผลการค้นหาได้ง่ายๆ ด้วยการจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับ Search Engine โดยค่าใช้จ่ายนั้น จะมีการจ่ายเป็นต่อคลิก คือ เมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้ามาคนค้นหาแล้วโฆษณาเว็บไซต์ของเราปรากฏขึ้นบนฝั่งขวามือ เราจะยังคงไม่เสียค่าโฆษณา

แต่หากผู้ค้นหาสนใจสินค้าหรือบริการของเรา แล้วคลิกโฆษณาเพื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราแล้วล่ะก็ เราจึงจะเสียค่าใช้จ่าย ต่อการคลิกของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่า ยอดคนเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราสักคน ก็มีโอกาสที่เขาจะพัฒนามาเป็นลูกค้าของเราได้ต่อไปในอนาคต เพราะนี่คือ สิ่งที่เขากำลังค้นหาอยู่จริงๆ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ต่ำกว่าการใช้งบโฆษณาไปกับสื่ออื่นๆ ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ลองคิดดูซิว่า หากเรามีการลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์สักฉบับนึง ประมาณ 10,000 บาท แน่นอนว่า คนที่อ่านหนังสือพิมพ์จะได้เห็นโฆษณาเรา แต่ใน 200,000 คนที่อ่านหนังสือพิมพ์นั้น อาจจะมีคนสนใจสินค้าเราเพียงแค่ 500 คนเท่านั้น และภายใน 500 คนจะกลายเป็นลูกค้าเราจริงๆ เพียงแค่ 50 คนเท่านั้น ในขณะที่เราลงโฆษณาด้วย pay per click คนที่เข้ามาค้นหาข้อมูลบน Search Engine นั้น จะเป็นคนที่มีความสนใจในสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว หากเรามีการเขียนคำโฆษณาที่ดี และดึงดูดให้เขาคลิกได้โอกาสที่เขาจะกลายเป็นลูกค้าของเราจะมีมากกว่าการลงทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ซึ่งการทำ ppc นั้นสามารถวัดผล ROI ได้อย่างชัดเจนจากการเริ่มทำกันเลยทีเดียว

Pay per click นั้นมีชื่อเรียกกันหลากหลายชื่อเลยทีเดียว หากใครไปได้ยินชื่อที่เรียกว่า Keywords Advertising, Cost Per Click (CPC), Sponsored Link, Paid Placement และจะมีชื่อเรียกไปตาม Search Engine ต่างๆ ด้วย เช่น Google ก็จะเรียกว่า “Google AdWords” ส่วน Yahoo ก็จะเรียกว่า “Y!SM Yahoo Search Marketing” เป็นต้น แต่ขอให้รู้ไว้ว่า มันคือกระบวนการทำงานแบบเดียวกันนั่นเอง

SEO หรือ PPC อย่างไหนดีกว่า

จากประสบการณ์ของผู้เขียน ถ้าให้ถามว่า การทำ SEM แบบไหนดีกว่ากัน? ระหว่างการทำ SEO กับ PPC ผู้เขียนก็บอกได้เลยว่า ดีไปกันคนละแบบ ในฝั่งขวาที่เป็น ppc นั้น เราสามารถเขียนคำโฆษณาที่เราต้องการหรือสิ่งที่เราอยากจะสื่อความคิดของเราให้กลุ่มเป้าหมายของเราได้ชัดเจน เช่น ถ้าเราจะขายบ้านสักหลัง เราอาจะเขียนโฆษณาในฝั่งขวาว่า

บ้านสวย พร้อมอยู่
ใกล้รถไฟฟ้า แถวบางนา
จองวันนี้ เพียง 1.3 ล้านบาท

โดยเราจะใช้ keyword ว่า บ้านบางนา เป็นต้น เพราะนั่นหมายความว่า คนที่เข้ามาค้นหาคำว่า “บ้านบางนา” เขามองหา บ้านที่อยู่บางนา ซึ่งถ้าเราเขียนคำโฆษณาได้โดนใจคนค้นหา สิ่งที่เขียนอาจจะโดนใจด้วยคำว่า ราคาแค่ 1.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณ ที่คนค้นหาต้องการพอดี ก็แน่นอนว่า โอกาสที่คนค้นหานี้จะเป็นลูกค้าเรามีสูงมากแล้ว แต่การจะกลายเป็นลูกค้าของเราได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับ หน้าตาของเว็บไซต์ และรูปแบบของบ้านเป็นสำคัญอีกด้วย

มาดูในฝั่ง SEO กันบ้าง ถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถเขียนคำโฆษณาอย่างที่เราต้องการได้ แต่อย่างที่เราๆ ท่านรู้กันดีอยู่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เรามีการค้นหา เราจะคลิกฝั่งซ้ายมือก่อนเสมอ บางทีเว็บไซต์อันดับที่ 1 นั้นไม่ได้มีสิ่งที่เราต้องการเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะคลิกอันดับหนึ่งของผลการค้นหาก่อนเสมอ ถ้าไม่ใช่แล้วค่อยกลับมาหาอันดับที่ 2 3 4 ต่อไปตามลำดับ นี่เองเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมแต่ละเว็บไซต์จึงอยากให้เว็บไซต์ของตัวเอง ติดในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาใน Search Engine กันเหลือเกิน

ไม่ต้องขายของก็รวยได้

เว็บไซต์ของบางคนก็ไม่ได้มีการขายของผ่านทางหน้าเว็บ แต่ก็มาจ้างทำ SEM ก็มีเหมือนกัน หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วถ้าเขาไม่ได้ขายของ เว็บไซต์ของเราจะอยากติดหน้าแรกไปทำไมกัน อยากดังแค่นั้นหรือ? จริงๆ แล้ว ความอยากดัง อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้มองกันดีๆ เราจะพบว่า หากเว็บไซต์ของเรา ที่ไม่ได้มีขายของอะไร แต่มีคนเขาเยี่ยมชมมากมาย และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่สม่ำเสมอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องหาของมาขายเลย เพราะแค่ขาย Banner ก็รวยแล้วค่ะ

เว็บไซต์อย่างเช่น sanook, kapook หรือ manager เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ขายของ และเน้นข้อมูล-ความบันเทิงเป็นหลัก แต่มีคนเข้าชมวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 uip ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีอีกหลายๆ บริษัทฯ ที่อยากได้ลูกค้าจากคนในเว็บไซต์นี้แน่นอน ถ้าคิดว่า แบ่งสัก 10% คนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ไปให้คนที่นำ banner มาติด ก็จะพบว่า ใน 1 วัน เว็บไซต์ของเราจะมีคนเข้าชมประมาณ 10,000 uip เลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีเว็บไซต์ประเภทใด หากมีการติดอันดับในผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นฝั่งขวามือหรือซ้ายมือ มันก็จะช่วยให้เราสามารถทำเงินได้เช่นกัน!!

***ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์หน้า จะพูดถึงการตลาดด้วยเว็บล็อก อย่าพลาดนะคะ

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

^ ^ เที่ยวไป เขียนไป ออกไปมองโลกใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเห็นด้วยสายตาตัวเอง ^ ^
เยี่ยมชมเว็บไซต์ของสมาชิกท่านนี้ ค้นหาข้อความทั้งหมดของสมาชิกท่านนี้
อ้างถึงข้อความนี้ในการตอบกระทู้
Mon, 30 Mar 09, 22:26
Post: #2
RE: ทำเงินบนโลกไอที: Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
ร้านอาหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ในซอยแสนลึกลับ ทำไมคนกลุ่มใหญ่ที่นั่งรอสั่งอาหารอย่างคึกคักถึงหาร้านพบ รีสอร์ทขนาดเล็กอบอุ่นที่ไม่ได้มีหน้าโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต ทำไมจึงมีลูกค้ามาจองตลอดปี หรือแม้แต่บุฟเฟต์อาหารนานาชาติแสนแพงที่โด่งดังเฉพาะกลุ่มในสมัยก่อน ทำไมวันนี้จึงสามารถขยายกลุ่มตลาดไปยังมนุษย์เงินเดือนหรือวัยรุ่นได้

เราเชื่อว่าหนึ่งในสิ่งที่สามารถเป็นตัวช่วยของคำถามเหล่านี้ได้ดี คือ บล็อก ไดอารี่ออนไลน์สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ชาวเน็ตฟังเหมือนเพื่อนที่บอกกันปากต่อปาก มาพร้อมรูปสวยมหาศาลผลพวงจากการขยายตัวของกล้องดิจิตอล จนส่งให้บล็อกสามารถเป็นเครื่องมือด้านการตลาดชั้นดี

บทความในวันนี้จะทำให้คุณเข้าใจความเกี่ยวข้องของบล็อกและการตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น ที่จะเป็นบันไดอีกขั้นของการทำงานบนผืนนาไอทีแห่งนี้

...

น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า : "บล็อก" กับ "การตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น" (SEM)
(บทความโดย สุธี จันทร์แต่งผล - http://www.eblogbiz.com)

ในพื้นที่ของโลกออนไลน์ มีหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ของเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างก้าวกระโดด บริการใหม่ๆที่เกิดขึ้นแทบทุกอย่างในชีวิตของเรา และหลายอย่างมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราโดยไม่รู้ตัว หลายครั้งที่สิ่งที่เราทำลงไป แท้จริงๆแล้วมันสามารถสร้างรายได้ให้เราได้โดยที่เรากำลังมองข้ามมันไปเสียด้วย

คุณเคยได้ยิน หรือรู้จัก อาชีพ "บล็อกเกอร์" บ้างหรือไม่? อาชีพเหล่านี้มีอยู่จริงๆในหลายๆประเทศ พวกเขาเหล่านั้นมีรายได้จากการเขียนบล็อกในหลายๆเรื่องที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ เรื่องทางเทคนิคด้านเทคโนโลยีต่างๆ, เขียนข่าว, เล่าเรื่องการทำอาหาร หรือแม้แต่ เล่าเรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปของพวกเขาเหล่านั้นเอง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาสามารถหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยเงินเดือนหลักพันไปจนถึงตัวเลขรายได้หกหลัก จากการเขียนบล็อก!

เว็บบล็อก หรือ บล็อกแท้จริงคือ?

สำหรับในบ้านเราเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในบ้านเรากำลังนิยมเขียน "ไดอารี่ออนไลน์" ซึ่งในยุคนั้นดูเหมือนจะเป็นกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลพาเว็บไซต์หลายๆเว็บ โดยเฉพาะเว็บผู้ให้บริการไดอารี่ออนไลน์ ผุดขึ้นราวหลายต่อหลายเว็บ พูดง่ายๆคือ มันคือยุคเฟื่องฟูแห่งไดอารี่ออนไลน์

แต่ผ่านไปไม่นานนัก กระแสที่ไหลมาติดๆ บนโลกออนไลน์ที่มักจะมีสิ่งใหม่ๆ มาให้ผู้ใช้งานได้ตื่นตาตื่นใจได้อย่างต่อเนื่องก็เห็นจะเป็น "เว็บบล็อก" หรือ "บล็อก" ที่ปัจจุบันนี้ ใครไม่มีบล็อก ไม่ได้เขียนบล็อกก็ดูเหมือนจะตกยุคตกสมัยกันไปแล้ว แต่ทำไม เว็บบล็อกจึงมากินหรือแย่งลูกค้าของไดอารี่ออนไลน์ได้ภายในเวลาไม่นาน?

เว็บบล็อกจริงๆแล้วเกิดขึ้นมาหลายปีในฝั่งอเมริกา และยุโรป ในช่วงเริ่มต้นที่ก่อกำเนิดนั้น มันเป็นเพียง "Web Log" ที่เหล่าคนที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ใช้เก็บข้อมูลส่วนตัว หรือภายในกลุ่ม เป็นเพียงการบันทึกสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเนื้องานว่าได้ทำอะไร ผ่านไปบ้างแล้ว เพื่อให้ใช้ทบทวนหรือแจ้งข่าวการพัฒนาปรับปรุงส่วนต่างๆ ไว้นั่นเอง

หลังจากนั้น การเขียนเจ้า "Weblog" ก็เริ่มขยายตัวของมันออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความมีสาระของมันนั่นเอง จนทำให้แตกหน่อ ออกเป็นหลากหลายประเภท และหลายคนใช้เว็บบล็อกเป็นที่เขียนไดอารี่ส่วนตัวอีกด้วย

บุคคลแห่งปี 2006 นิตยสารไทม์ ยกให้พวกเราทุกคน ซึ่งส่วนหนึ่งคือ เหล่าบล็อกเกอร์ทั่วโลกนั่นเอง

ดังนั้น ด้วยความที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในบ้านเรา ชื่นชอบการเขียนไดอารี่ จดบันทึกเรื่องราวหลายๆอย่างอยู่เป็นทุนเดิม ความเป็นเว็บบล็อกที่มีกว้างอย่างอิสระในการเขียนมากกว่าไดอารี่ส่วนตัว ในแง่ของเนื้อหาที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถเขียนบันทึกประจำวัน เขียนรีวิวมือถือใหม่ของตน ร้านอาหารที่ไปกินมา หรือแม้แต่สาระทางวิชาการเพื่อจดเป็นบันทึกช่วยจำ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เว็บบล็อกเข้าครอบครองส่วนแบ่งตลาดของไดอารี่ออนไลน์ได้อย่างไม่ยากเย็น สังเกตได้จาก การเจริญเติบโตของผู้ให้บริการเว็บบล็อกอย่าง Exteen.com ที่โตอย่างต่อเนื่องแตกต่างกับเว็บไดอารี่ออนไลน์หลายๆค่ายที่ โตช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

เริ่มต้นบล็อกอย่างไรให้สำเร็จ?

มาถึงตอนนี้ หลายคนเริ่มสนใจหรืออยากรู้ว่า ทำอย่างไร จะเริ่มต้นอย่างไร สิ่งที่อยากจะบอกและง่ายที่สุดในการเริ่มต้นกับการเป็น "บล็อกเกอร์" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ด้วย ทุกทางที่มีแนวทางแนวโน้มจะทำให้เราสามารถสร้างรายได้ย่อมจะเป็นเหมือนกับ แสงสว่างปลายทางที่มืดมนนั่นเอง

สิ่งแรก เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ในการเริ่มต้นเขียนบล็อก คือ ค้นหาความชอบของตัวเองให้เจอ สิ่งนี้เป็นสิ่งแรกๆที่หลายคนมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง เพราะมองที่ปลายทางเพียงอย่างเดียวว่าจะได้เงินได้อย่างไร โดยลืมสิ่งง่ายๆเหล่านี้ไปนั่นเอง เพราะการจะเป็น "บล็อกเกอร์มืออาชีพ" นั้นไม่ใช่ว่า คุณเขียนวันนี้ อาทิตย์หน้ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้ทันทีทันใด มันจะต้องอาศัยเวลาของการบ่มเพาะ และพิสูจน์ความน่าสนใจของบล็อกของเราอยู่ซักระยะหนึ่ง ดังนั้น การที่เราต้องมานั่งเขียนเนื้อหาที่เราไม่ได้ชอบ ไม่รัก ไม่ได้สนใจ เป็นประจำนั้น มันจะกลายเป็นความน่าเบื่อหน่าย และท้อแท้ในที่สุด

แต่ในทางตรงกันข้าม หาเรามีความรักความชอบอะไรซักอย่างนึงและนำมาเขียน มันก็เป็นการง่ายที่จะเขียนเล่าเรื่องราวในสิ่งเหล่านั้นให้ผู้อื่นได้ เข้าใจ เนื้อเรื่องบทความนั้นๆได้ง่าย เช่น กรณีอย่างมีแม่บ้านชาว ญี่ปุ่นคนนึง ชื่นชอบในการทำอาหาร และมักจะซื้อเครื่องครัวใหม่ๆมาลองใช้ทำกับข้าวที่บ้าน ซึ่งเธอก็เปลี่ยนจากการเล่าในเพื่อนบ้านฟัง มาเป็นการเขียนเล่าเรื่องการทำอาหารกับเครื่องครัวแต่ละชิ้นของเธอ ให้คนบนโลกอินเตอร์เน็ตฟัง ผลสุดท้ายเหล่าบริษัทที่ขายเรื่องครัวต่างพากันมาจ้างให้เธอช่วยทดสอบ เครื่องครัว และเขียนลงในเว็บบล็อกของเธอ โดยให้ค่าตอบแทนไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือเครื่องครัวชิ้นใหม่ๆ

เมื่อคุณค้นพบแล้วว่า คุณชื่นชอบอะไร รักหรือสนุกกับการทำอะไรซักอย่างและอยากเขียนมันให้คนอื่นๆได้อ่านบ้าง ก็เริ่มต้นเปิด "เว็บบล็อกเล็กๆ" โดยอาจจะใช้เว็บบล็อกฟรีๆ ที่มีให้ใช้บริการกันเยอะแยะมากมายทั้งเว็บในไทย หรือ เว็บต่างประเทศก็ได้ตามแต่จะถนัด เลือกที่เราใช้งานมันได้ง่าย ถนัดและคุ้นเคยมากที่สุด หรือใครจะลงทุน จดโดเมน เช่าโฮสต์ เพื่อเปิดเว็บบล็อกส่วนตัวของตัวเองก็ได้ไม่ผิดกติกา ซึ่งค่าใช้จ่ายขั้นต่ำรวมๆแล้วก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งพันบาทต่อปี เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย ความสามารถในการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

เมื่อมีเว็บบล็อกส่วนตัวแล้ว ก็เริ่มต้นลงมือเขียนเนื้อหาเหล่านั้นลงไปเท่านั้นเอง ซึ่งในการเขียนบล็อก คุณไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำสวยหรู ศัพท์ที่เข้าใจยากแต่อย่างใด ให้นึกว่าถ้า คุณจะเล่าเรื่องที่คุณกำลังเขียนนี้ ให้กับเพื่อนข้างบ้านฟัง คุณจะเล่าอย่างไร แล้วเปลี่ยนมันจากคำพูดมาเป็นตัวอักษร เพียงเท่านั้น เพราะคนทั่วไปชอบอ่านอะไรง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ไม่เชื่อลองถามตัวคุณเองสิครับว่า คุณชอบฟังเพื่อนคุยหรือฟังสัมมนาทางวิชาการ?

มีเว็บบล็อกมีบทความแล้ว หากคุณไม่ทำการบอกเพื่อนฝูง แนะนำเพื่อนให้รู้ว่า คุณเขียนบล็อกอยู่นะ ด้วยนั่นเอง มันเป็นทางเลือกโปรโมทเว็บบล็อกอย่างแรก และง่ายที่สุด ไม่ต้องเสียเงินซะด้วย อย่างเช่น คุณผู้หญิงทั้งหลายอาจจะเริ่มต้นง่ายๆ เป็นต้นว่า "นี่ เธอ เมื่อวานชั้นไป ซื้อกระเป๋ามานะถูกมาเลย สวยด้วย เนี่ยๆ ไปดูรูปในเว็บบล็อกชั้นสิ...." และคุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่า บล็อกเกอร์หลายคนที่มีรายได้เป็นเลขหกหลักจากการเขียนบล็อก เริ่มต้นด้วยประโยคคล้ายๆกันนี้!

สิ่งที่เหลือคือ รักษาความสนุก ความน่าสนใจของบล็อกของคุณไปเรื่อยๆ รักษา กรอบของเนื้อหาที่คุณชอบเหล่านั้นไว้ให้คงเส้นคงวา เพราะเว็บบล็อกที่ประสบความสำเร็จมักจะเขียนในเรื่องที่ตัวเองสนใจเพียงไม่ กี่เรื่องเท่านั้น เช่น คุณเขียนเรื่องการปลูกต้นไม้ ก็เขียนเรื่องเกี่ยวข้องกับต้นไม้ไป หรือการทำอาหารก็เขียนไปเรื่อยๆ เป็นแนวทางหลักนั่นเอง

การทำเสิร์ชเอ็นจิ้นมาร์เก็ตติ้ง กับเว็บบล็อก เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร?

มาถึงตรงนี้ หลายท่านคงนึกสงสัยว่า ที่พูดมาทั้งหมดยังไม่เห็นมันจะเกี่ยวกับเว็บบล็อกแต่อย่างใด ยังคงมองไม่เห็นจุดตัดที่มันจะมาบรรจบกันได้เลย จุดที่ทำให้เส้นทางทั้งบล็อกและการทำการตลาดผ่านเสิร์ชมาบรรจบกันก็คือ ถ้าเรากลับไปมองดูหน้าผลการค้นหาของ เสิร์ชเอ็นจิ้นต่างๆ เราก็คงเห็นว่า ในหนึ่งหน้านั้น มีพื้นที่อยู่ไม่มากนักสำหรับการลงโฆษณา และพื้นที่สำหรับผู้ที่ทำ SEO ติดอยู่ในผลการค้นหา 10 อันดับแรก (ซึ่งในเรื่องของการทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้นนั้นได้ มีทั้งในส่วนของการทำ Pay-per-click (PPC) และการทำ Search Engine Optimization.(SEO) ที่ได้กล่าวไปในบทความก่อนเรื่อง ทำเงินบนโลกไอที (1) : Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้)

ดังนั้นแม้ว่ามันจะมีระบบประมูล (Bidding) คีย์เวิร์ดต่างๆ ที่ผู้ลงโฆษณาประมูลแข่งขันกันเพื่อให้โฆษณาตัวเองแสดงบนผลการค้นหา แล้วก็ตาม ค่าใช้จ่ายสำหรับเสิร์ชเอ็นจิ้นรายใหญ่ๆนั้น ก็ยังคงไม่น่าจะเพียงพออยู่ดี เสิร์ชเอ็นจิ้นเองจึงต้องหาพื้นที่เพิ่ม ผลคือ เสิร์ชยักษ์ใหญ่อย่าง Google ทำ Adsense ออกมานั่นเอง

Google Adsense เป็นระบบที่เปิดให้เว็บไซต์สามารถนำโฆษณาที่มีผู้ลงโฆษณาผ่านระบบของ Google Adwords ไปติดในเว็บไซต์ของตัวเอง และ ระบบของ Google จะทำการเลือกโฆษณาให้ตรงกับเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ ซึ่งจุดนี้เองที่ที่เหล่าคนเขียนบล็อก หรือ บล็อกเกอร์ ชื่นชอบ เพราะว่า พวกเค้าไม่ต้องยุ่งยากกับการติดต่อหาโฆษณามาลงเว็บบล็อกของตัวเอง และโฆษณาก็ยังตรงกับเนื้อหาภายในเว็บตัวเองอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า เว็บบล็อกสามารถเปิดช่องทางการตลาดให้กับคุณได้อย่างหลากหลาย ตรงกับความต้องการของผู้สนใจมากกว่า นั่นย่อมหมายถึง ROI ที่มากกว่าด้วยเช่นกัน

อีกทั้งเราลองคิดเล่นว่า ถ้าเราขายปุ๋ยต้นไม้ การที่โฆษณาของเราไปแสดงในเว็บบล็อกที่พูดถึงการปลูกต้นไม้ กับการไปแสดงอยู่บนเว็บไซต์ใหญ่ๆนั้น ROI ของเว็บไหนจะมากกว่ากัน? ในมูลค่าของการจ่ายเงินที่เท่ากัน คุณอาจจะสามารถลงโฆษณาขายปุ๋ยของคุณได้จำนวนนับสิบ นับร้อยบล็อกที่เขียนถึงการปลูกต้นไม้ ในขณะที่ถ้าคุณเลือกลงโฆษณาในเว็บใหญ่ๆ ก็คงต้องทำใจระดับหนึ่งว่า คนเข้าเว็บเหล่านั้นส่วนใหญ่สนใจเรื่องของบันเทิง จะเหลือกี่คนที่สนใจเรื่องปลูกต้นไม้ และสุดท้ายจะเหลือกี่คนที่ตัดสินใจซื้อปุ๋ยของคุณ

   

อีกประการหนึ่งที่ทำให้จุดตัดของทั้งสองอย่างนี้มาบรรจบกันมากขึ้น คือ การทำ SEO นั่นเอง หลายครั้งที่เว็บบล็อกมีอันดับในผลการค้นหาดีกว่า เว็บไซต์เจ้าของผลิตภัณฑ์ ทำให้เจ้าของสินค้าตัดสินใจ "จ้าง" บล็อกเกอร์ให้เขียนเชียร์สินค้าของตน และจุดนี้เองดูจะเป็นจุดที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไป มักจะเชื่อถ้อยคำ การบอกเล่าของเพื่อนในโลกออนไลน์ นั่นกลายเป็นผลดีอีกทอดหนึ่งให้กับสินค้านั้นๆ ที่นอกจากเป็นการส่งเสริมการขายสินค้า ทางอ้อมแล้วยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าอีกด้วย

ในแง่ของผู้ที่ทำ SEO แล้วส่วนหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ ระบบของเว็บบล็อกอย่างเช่น Wordpress ซึ่งเป็นฟรีสคริปต์สำหรับทำเว็บบล็อกนั้น มีลูกเล่นและสนับสนุนการทำ SEO อย่างแพรวพราวรอบตัว ง่ายต่อการใช้งาน ปรับแต่ง และติดอันดับดีในหน้าผลการค้นหานั้นง่ายขึ้น นอกจากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วนั้น ยังมีอีกบางส่วนที่มีการซื้อขายลิ้งค์ของเว็บบล็อกเพื่อช่วยให้อันดับของเว็บตัวเองนั้นดีขึ้นในผลการค้นหาอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มักถูกขับเคลื่อนจากบล็อกเกอร์และเว็บบล็อกของเขานั่นเอง

สุดท้าย... เมื่อการทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้นและเว็บบล็อกก้าวไปด้วยกัน

ในทุกวันนี้ เราทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เรามักจะได้ยินคำว่า "หาไม่เจอ ลองหาใน google รึยัง?", "มีปัญหาปรึกษา Google" และอื่นๆอีกมากมายที่บอกให้เราลองหาข้อมูลในเสิร์ชเอ็นจิ้นต่างๆ และไม่จำเพาะสำหรับ Google เพียงเท่านั้นในเสิร์ชเอ็นจิ้นค่ายอื่นๆด้วยเช่นกัน

และในผลการค้นหาเหล่านั้น เราก็คงปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่า มันจะต้องมีอย่างน้อยซักรายการในคำที่เรากำลังค้นหาอยู่ แสดงข้อมูลของหน้าเว็บบล็อกขึ้นมาให้เราได้เห็น ได้คลิกเข้าไปอ่านเนื้อหากัน

สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้นักการตลาดในยุคเว็บ 2.0 คงต้องหันหน้ามามองการทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น และพึ่งพาเว็บบล็อกในการโปรโมทสินค้าของตัวเองบ้างแล้ว ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก สิ่งที่นักการตลาดต้องคิดคือ การทำอย่างให้สามารถลดต้นทุนในการโฆษณา ทำให้ผลการโฆษณานั้นสามารถผันมาเป็นผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

อีกทั้งอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ระบบของเว็บบล็อกนั้นดีต่อการทำ SEO หากเรารู้จักใช้งานและปรับแต่งมัน เจ้าเว็บบล็อกเหล่านี้ ก็จะแสดงพลังที่มี ทำให้ขึ้นไปติดอันดับของผลการค้นหาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และนั่นคือการทำโฆษณาแบบฟรีๆ ที่คุณไม่เสียเงินเลยใช่หรือไม่?

สำหรับบล็อกเกอร์ การเขียนบล็อกก็เป็นเหมือนกับการหว่านพืชที่หวังผลนั่นเอง เพียงแต่คุณจำเป็นที่ต้องอาศัยเวลาซักหน่อยเพื่อให้ เว็บบล็อกของคุณเจริญเติบโต ซึ่งมันก็ไม่นานเกินรอ หากเราสนุกกับสิ่งที่เราเขียน เพราะจะมีคนอีกหลายคนเข้ามารับแบ่งปันความสนุกเหล่านั้นไปด้วยกันกับคุณ ในระหว่างที่ยังไม่มี นักการตลาดคนใดมาจ้างคุณเขียนรีวิวสินค้า การหาโฆษณาอย่างอื่นมาติดไปพลางก่อน เช่น Google Adsense ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ง่ายและน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองเริ่มต้นจากการเขียนบล็อกเล็กๆ ตามเว็บบล็อกฟรีๆทั่วไป จนกระทั่งเมื่อวันหนึ่งที่ผมไปนั่งเลี้ยงฉลองปีใหม่กับเพื่อนฝูงแล้วกลับมาคิดได้ว่า "ค่าอาหาร เครื่องดื่มในคืนนั้น ทำให้ผมมีความสุข สนุกแค่ข้ามคืน แต่ถ้าผมนำเงินก้อนนั้นมาเปิดเว็บบล็อกเล็กๆ ผมสามารถมีความสุข และสนุกกับการเขียนบล็อกได้อย่างน้อยคือ 365 วัน" จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมก็ยังคงเขียนบล็อก เก็บดอกผลเล็กๆน้อยๆ เพื่อหวังว่าชีวิตนี้ จะมีอาชีพ "บล็อกเกอร์" บ้างเท่านั้นเอง

แล้ววันนี้ คุณเขียนบล็อกหรือยังครับ?

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

^ ^ เที่ยวไป เขียนไป ออกไปมองโลกใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเห็นด้วยสายตาตัวเอง ^ ^
เยี่ยมชมเว็บไซต์ของสมาชิกท่านนี้ ค้นหาข้อความทั้งหมดของสมาชิกท่านนี้
อ้างถึงข้อความนี้ในการตอบกระทู้
Mon, 10 May 10, 02:50
Post: #3
RE: ทำเงินบนโลกไอที: Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
ยอมรับครับว่าทุกวันนี้ social network มัน WORK จริงๆ

หากมีอะไรดีๆ จะเอามาเขียนอีกครับ
ค้นหาข้อความทั้งหมดของสมาชิกท่านนี้
อ้างถึงข้อความนี้ในการตอบกระทู้
ตอบกระทู้ 


** ข้อแตกต่างระหว่างการตอบกระทู้โดยใช้กล่อง comment ของ Facebook กับกล่องตอบข้อความของทางเว็บ


ไปยังหัวข้อ:


ผู้ที่กำลังดูกระทู้นี้: 2 ผู้เยี่ยมชม