4 วิธีการใส่ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

[totheworld]

ใช่ว่าการใส่ปุ๋ยจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของเกษตรกร หากแต่ต้องใส่อย่างถูกวิธีด้วยพืชจึงจะได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อให้พืชผลเจริญเติบโตงอกงามตามความคาดหวังของเกษตรกรทั้งหลาย ตลอดจนเหมาะสมต่อการส่งออกและสร้างผลกำไรกลับมา ถึงกระนั้นก็มีหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าการใส่ปุ๋ยไม้ผลที่ถูกต้องควรทำอย่างไร ดังนั้น ในวันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 วิธีที่ถูกต้องสำหรับใส่ปุ๋ยลงดิน เอาล่ะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย !

1.ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร
เป็นการเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับธาตุอาหารที่พืชต้องการ โดยส่วนมากจะขึ้นอยู่กับชนิด อายุของพืช ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสภาพภูมิอากาศเป็นสำคัญ เช่น ถ้าคุณกำลังปลูกข้าวโพดในบริเวณนาดินทราย แต่กลับใส่สูตรปุ๋ย 16-20-0 ที่เหมาะกับนาดินเหนียว แบบนี้ถือว่าผิดหลักการใส่ปุ๋ย ซึ่งสูตรที่ถูกต้องควรเป็นปุ๋ย 16-8-8 หรือ 16-16-8 จะเหมาะกับสภาพดินที่เป็นทรายมากกว่า

2.ใส่ปุ๋ยให้ตรงตามอัตรา
นอกจากสูตรปุ๋ย ยางพาราที่เหมาะสมกับลักษณะของดินแล้ว เรายังต้องผสมปุ๋ยในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของพืชด้วย เช่น ปุ๋ยสำหรับปลูกมันสำปะหลังให้ใช้สูตร 15-5-20 ในปริมาณ 70 กิโลกรัมต่อไร่ เพราะหากใส่เป็น 100 กิโลกรัมก็อาจจะมากเกินจนทำให้เราเสีย 30 กิโลกรัมไปโดยไม่ได้ผลผลิตเพิ่ม หรือถ้าใส่แค่ 40 กิโลกรัมก็เกรงว่าจะน้อยเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้ได้ผลผลิตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

3.ใส่ปุ๋ยในเวลาอันเหมาะสม
กล่าวคือ ถ้าอยากใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมเพื่อเพิ่มผลผลิต ผลโตไว หรือเพิ่มน้ำหนัก ก็ควรให้ธาตุอาหารพืชในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 30 วัน เนื่องจากโพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารพืชที่เคลื่อนย้ายช้า จึงไม่ควรใส่ในขณะที่พืชมีผลโตเต็มที่แล้ว ส่วนใครที่ปลูกมันสำปะหลังก็ควรใส่ปุ๋ยในช่วงอายุ 45-90 วัน เพราะระบบรากจะสมบูรณ์ดีที่สุด ผิดกลับช่วง 8 เดือนตอนมันสำปะหลังโตจนมีอายุได้ 4 เดือน ที่เมื่อปุ๋ยลงดินไปรากจะดูดซึมสารอาหารมาใช้ได้ค่อนข้างน้อย



4.ใส่ปุ๋ยอย่างถูกวิธี
อย่างเวลาการใส่ปุ๋ยในนาข้าวก็ไม่ควรใส่ตอนที่ระดับน้ำลึกจนเกินไป เพราะปุ๋ยจะละลายหายไปหมดแต่ให้ใช้ปุ๋ยยางพาราใส่ตอนระดับน้ำประมาณสูงประมาณ 1 ฝ่ามือ ตามแนวรัศมีของพุ่มใบ เนื่องจากมีรากฝอยพืชอยู่มากในบริเวณดังกล่าว

ก็จบไปแล้วกับ 4 วิธีการใส่ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ลำพังการใช้ปุ๋ยโดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สูตรปุ๋ย ชนิดของพืช อายุพืช ลักษณะของดิน ตลอดจนสภาพอากาศ ก็มีโอกาสที่พืชผลจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น เกษตรกรจึงควรนำวิธีเหล่านี้ไปใช้เพื่อให้ผลผลิตออกมามีคุณภาพตรงความคาดหวัง