จากต้นแบบที่เปิดตัวในโซล มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางฮุนไดจัดการนำรถยนต์พลังงานทางเลือกรุ่นนี้ลุยตลาดแล้วในชื่อ
Avante LPI ด้วยจุดเด่นในเรื่องของ
การจับเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG ในการขับเคลื่อน และทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในรูปแบบของระบบไฮบริด พร้อมกับได้รับการบันทึกว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ใช้ก๊าซ LPG ซึ่งถูกเปิดตัวขายในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก
ฮุนไดนำรถยนต์รุ่นนี้เปิดตัวในเกาหลีใต้เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และใช้เวลาที่รวดเร็วมากทำยอดจองครบ 1,000 คัน ซึ่งประเด็นหลักเป็นเพราะก๊าซ LPG ได้รับความนิยมจากผู้ขับขี่รถยนต์ในแดนโสมไม่แพ้เมืองไทย เนื่องจากมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินถึงเท่าตัว
การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของรุ่น Avante ซีดาน หรือที่ขายในตลาดโลกด้วยชื่อเอลันทรา ซึ่งเป็นรถยนต์ระดับคอมแพ็กต์กลุ่มเดียวกับฮอนด้า ซีวิค และโตโยต้า โคโรลล่า โดยตัวรถได้รับการปรับปรุงในเรื่องของพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซ LPG พร้อมกับการจัดวางแบตเตอรี่แบบลิเธียม โพลีเมอร์ และมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับใช้ในการขับเคลื่อน
ขุมพลังหลักในการขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์แบบ Liquefied Petroleum Injected (LPI) 4 สูบ 1,600 ซีซีซึ่งใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 10.7 กก.-ม. ในการขับเคลื่อนและส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT โดยรูปแบบการทำงานก็ไม่ต่างจากรถยนต์ไฮบริดทั่วไป และมีอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับ 17.8 กม./ลิตร โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 99 กรัม/กม.
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำเป็นผลมาจากการใช้ระบบ “Auto-Stop” ที่จะมีระบบควบคุมและตัดการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ไปใช้พลังงานไฟฟ้าจาก มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทน โดยเซ็นเซอร์จะเริ่มทำการประมวลผลเมื่อผู้ขับรถเหยียบเบรกนานเกิน 2 วินาทีที่ความเร็วสูงกว่า 9 กม./ชม. ขึ้นไป แต่หากพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 30% ระบบ Auto-Stop ก็จะเปลี่ยนไปใช้ระบบการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายในตามปกติอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม รถยนต์รุ่นนี้จะถูกส่งขายสำหรับตลาดในประเทศก่อน ยังไม่มีแผนสำหรับต่างแดน ซึ่งทางฮุนไดตั้งเป้าเอาไว้ว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้มากถึง 8,000 คัน โดยตัวรถมีราคาอยู่ที่ 20-23 ล้านวอน หรือ 525,000-553,000 บาท ใกล้เคียงกับ Avante รุ่นธรรมดาที่ขายในเกาหลีใต้ แต่ถูกกว่าฮอนด้า ซีวิค ไฮบริดที่ขายในแดนโสมถึง 40% เลยทีเดียว
ที่มา: http://www.manager.co.th