หน้าฝนมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะอาจจะมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในฤดูอื่น ไม่ว่าการสัญจรในเมืองหรือการเดินทางไปเที่ยวไกลๆ ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบ่อย การขับรถบนถนนที่เปียกลื่นไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่คือเคล็ดลับที่น่าสนใจเพื่อช่วยให้การเดินทางไปถึงจุดหมายและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้
1.ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง เบรก พวงมาลัย ระดับของเหลวต่างๆ ปริมาณลมยาง และระบบไล่ฝ้าควรได้รับการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับการเดินทางที่อาจต้องพบกับฝนที่ตกหนักระหว่างทาง (
การดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ หากต้องขับฝ่าน้ำหรือฝนตก)
2.เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินที่มีคุณภาพดีให้พร้อม การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายเอาไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน และช่วยลดความตึงเครียดหากรถเสียระหว่างการเดินทาง อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ควรตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่แต่ละคน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วควรประกอบไปด้วย ยางอะไหล่ ไฟฉาย ฟิวส์ ที่สูบลม น้ำสะอาด อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และป้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มองเห็นเด่นชัด
3.ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน หากใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพหรือชำรุด ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีในขณะฝนตก
4.ขับอย่างระมัดระวัง! ใส่ใจในการขับขี่และรักษาระดับความเร็วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ การขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่น้ำฝนอาจก่อตัวเป็นแผ่นน้ำบางๆ คั่นกลางระหว่างล้อและถนน ทำให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง ผู้ขับขี่จึงควบคุมรถได้ยากขึ้น
5.เปิดไฟหน้ารถขณะฝนตก เมื่อต้องขับรถในขณะฝนตกให้เปิดไฟหน้ารถเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถผู้ขับได้จากระยะไกลด้วย
6.หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกแรงๆ หรือการเบรกกระทันหัน การค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงนับว่าเป็นวิธีการขับขี่ที่เหมาะสมที่สุด เพราะหากเหยียบเบรกอย่างรุนแรง รถอาจลื่นไถลได้
7.ขับรถอย่างมีสติและเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันข้างหน้า ในยามที่ถนนเปียกจะต้องใช้เวลาและระยะทางในการเบรกเพิ่มขึ้น เมื่อประสบกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การขับรถด้วยความระมัดระวังและไม่ขับตามหลังรถโดยสารขนาดใหญ่หรือรถบรรทุกจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะล้อด้านหลังของรถขนาดใหญ่มักจะปัดละอองน้ำมาใส่รถคันข้างหลัง จนอาจทำให้เสียทัศนวิสัยในการขับขี่ได้
8.หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำลึก ผู้ขับรถไม่มีทางทราบได้เลยว่าภายใต้ผิวน้ำนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากขับลงไปยังแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง กันชนหน้าและหม้อน้ำอาจจะถูกกระแทกจนได้รับความเสียหายร้ายแรง หรือถ้าคลื่นน้ำซัดเข้ามาในห้องเครื่องก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์ดับได้
9.ตื่นตัวกับสัญญาญเตือนให้หยุดรถหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่บนถนน หากพบว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง พยายามอย่าขับรถฝ่าไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ให้มองหาเส้นทางใหม่ที่ปลอดภัยกว่า
10.ขับช้าๆ เมื่อต้องฝ่าน้ำท่วม หากจำเป็นต้องขับฝ่าน้ำที่ท่วมขังบนพื้นถนน ให้ขับไปอย่างช้าๆ อย่าขับรถฝ่าน้ำที่กำลังไหลอยู่ หรือหากไม่ทราบว่าแอ่งน้ำนั้นลึกขนาดไหน ควรหยุดรถก่อนที่จะถึงบริเวณน้ำท่วมและตรวจสอบความลึกของน้ำ ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถหรือสูงกว่า 1 ใน 3 ของล้อเมื่อวัดจากพื้นถนน ไม่ควรขับฝ่าไปอย่างเด็ดขาด
11.เมื่อรถติดหล่ม ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และเร่งเครื่องช้าๆ อย่าเร่งเครื่องแรงจนทำให้ล้อหมุนฟรี เพราะจะทำให้รถจมลึกลงไปกว่าเดิมอีก
12.การเปลี่ยนเกียร์ต่ำกระทันหันขณะฝนตกเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ขณะที่พื้นถนนเปียก การเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วของล้อและยาง อาจทำให้รถลื่นไหลและสูญเสียการควบคุมรถ ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำขณะขับบนถนนลื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถขึ้นเนินที่มีความลาดชัน
ขอขอบคุณที่มา: http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNe...0000064222